ตลก เทพ
โพธิ์งาม
ปิดตำนานตลกประกาศขายบ้านหลบความวุ่นวายมาอยู่ในไร่ในจังหวัดราชบุรีเป็นเกษตรกรทำสิ่งที่รักและมีความสุข
ที่บริเวณ
บ้านไผ่สามเกาะ หมู่ที่ 7
ต.เขาขลุง
อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี บนเนื้อที่
20 ไร่ เทพ
โพธิ์งาม ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่กับสัตว์เลี้ยงนานาชนิดนับร้อยตัว
เพื่อหาความสุขในบั้นปลายชีวิต โดยคิดว่าความสุขไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมือง เพราะในเมืองมันแออัด
อากาศไม่บริสุทธิ์ เลยคิดเตรียมหาอาชีพใหม่ หลังจากขายบ้าน เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาอยู่ที่ไร่
อยู่กับสัตว์เลี้ยง ใช้ชีวิตอย่างชาวไร่ ตัดหญ้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย
ไม่เคยคิดจะขาย ถึงแม้ว่าจะมีคนให้ตัวเป็นล้าน และค่าอาหารจะมากกว่าเดือนละแสนบาท
จนต้องเอาที่ดินมาขาย จากอดีตที่มีอยู่แต่ก่อน
50 ไร่ ตอนนี้เหลือ 20 ไร่ เพื่อนำเงินที่ได้มาเลี้ยงสัตว์พวกนี้เพราะมีความสุขกับการได้อยู่ร่วมกันโดยไม่คิดที่จะนำมาเป็นอาหาร
(ปลา ไก่ วัว) ถึงแม้ปัจจุบันงานแสดงก็ไม่มี
ก็ต้องมาตัดหญ้าเลี้ยงวัว ควายด้วยตัวเอง เพราะไม่มีเงินจ้างลูกจ้าง จึงจะขายบ้านที่ซอยกันตนา
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้กับตัวเอง และครอบครัว
เพราะอาจจะได้ไปทำธุรกิจที่ประเทศเพื่อนบ้าน คงจะปิดฉากตำนานตลกที่เคยโด่งดัง อยู่อย่างพอเพียง ส่วนวงการตลกปล่อยให้เด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำงานแทนเชื่อว่า
เด็กสมัยนี้มีความสามารถ กล้าคิด กล้าแสดงออก
ทางด้าน เทพ โพธิ์งาม กล่าวว่า
บ้านขายคือตอนนี้งานก็ไม่ค่อยมีก็อยากขายไปทำธุรกิจอย่างอื่น
ก็คือบ้านก็บอกขายมานานแล้วแต่ก็ขายไม่ได้
ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรใครที่อยากซื้อไว้ก็ดี ในซอยกันตนาต่อไปมันเจริญ
ตอนนี้ก็อยากปล่อยๆ อะไรไปบ้างเฉพาะพวกสัตว์ก็เกือบ ร้อยตัว
ผมว่าสัตว์มันน่าห่วงกว่าคนคนมันหากินเองได้ ก็ดีครับใครที่อยากจะมีบ้าน
เนื้อที่ประมาณ หนึ่งไร่ ส่วนบ้านที่ จ.ราชบุรี
คาดว่าคนจะขายยากเพราะว่าเป็นที่ของสัตว์ไปแล้วเขาอยู่อาศัยไปแล้ว
ถ้าขายไปสัตว์พวกนี้จะไปอยู่ที่ไหน มีคนมาขอซื้อหลายทีแล้ว แต่เราขายไม่ได้
แม้แต่สัตว์เอง มีคนมาขอซื้อวัว ตัวเป็นล้าน แต่ผมขายไม่ได้ ก็มีแต่บ้าน
ที่ทางก็มีหลายที่ ที่ลำบากเพราะว่าขายไม่ได้ บางทีซื้อมาก็ขายออกไม่ได้
อยากจะขายบ้านที่ซอยกันตนา ถ้าเกิดว่าขายบ้านได้ ผมคิดว่าจะมาปลูกบ้านอยู่ที่นี่
(จ.ราชบุรี) เราจะได้ไม่ต้องมีภาระอะไรให้วุ่นวายผมคิดว่าถ้าเกิดไม่มีภาระอะไรผมคิดว่าถ้ามาอยู่ที่นี่คงจะดี
เพราะในกรุงเทพมันแออัด ไม่เหมือนกับที่นี่ ได้อยู่ที่กว้าง ๆ
ส่วนเรื่องการทำมาหากินในสายของตลก ก็คงจะพอแล้วเพราะว่าอายุเรามันมากแล้ว
ปีนี้ก็ปาเข้าไป
64 แล้ว
ค่าใช้จ่ายที่ใช้กับสัตว์พวกนี้เดือนๆหนึ่ง ก็แสนขึ้นเพราะว่าไหนจะวัว ควาย หมา
ปลา เป็ดไก่ เดือนๆ หนึ่ง ก็แสนขึ้น
บางทีไม่มีก็ต้องขายที่ขายทางเอามาเลี้ยงพวกนี้ตลอด แต่ก็ไม่มีปัญหา
ผมคิดว่า ของพวกนี้เราซื้อมาได้ เราก็ต้องขายได้ ซื้อมาเก็บยามที่เราลำบาก
ยามที่เราต้องใช้เงิน มันก็หมดไปเรื่อยๆ แบบนี้ จากที่มีประมาณ 50 กว่าไร่ เหลือ 20
ไร่ เห็นจะได้
แต่ก็ไม่ได้คิดนะ แค่อยากจะให้พวกสัตว์พวกนี้มีชีวิตมีกินแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
คนมันหากินเองได้ แต่สัตว์เนี้ยต้องหุงให้มันต้องหาให้มันมันก็ลำบากตรงนี้หน่อย ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าเมืองไทยมันไม่ดี
สู้ไปอยู่เมืองลาว เขมร พม่า เพราะเป็นเมืองเปิดน่าจะมีอะไรดีกว่า
เพราะบ้านเราตอนนี้มัน ถ้าพูดถึงผมนะผมว่ามันน่าจะหมดแล้วพอแล้ว
มันน่าจะมองไปทางอื่นได้แล้วเพราะตรงนี้ปล่อยเด็กๆเขาไปแล้ว
เราก็มองๆหาธุรกิจอะไรสักอย่างตอนนี้มีเพื่อนชวนไปลาว เราก็ว่าจะลองไปดูกับเขา
ตอนนี้เราจะลำบากอยู่นิดนึงคือตรงนี้ มันเหมือนว่าเป็นกรรมอะไรของผมสักอย่าง ทั้ง
ๆ
ที่ไม่น่าจะต้องมารับภาระอะไรตรงนี้แต่ก็ต้องมารับภาระอยู่อย่างนี้คือมันเหมือนกับถูกผูกมัดไว้ไปไหนไม่ได้อยู่อย่างนี้แต่ถึงหนีไปไหนถ้ามีคนเฝ้าบ้าง
มีคนดูแลบ้างเราก็ยังผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง แต่ก็ยังต้องใช้เงินอยู่อีก
ที่ผมต้องทำเองก็เพราะไม่มีเงินจ้างเขาก็เลยต้องทำเองก่อนมีโอกาสเมื่อไหร่เราค่อยหาเด็กมาช่วย
เป็นเรื่องที่เหนื่อยมากตัดหญ้าให้วัว ควาย แต่ว่าเราก็ต้องทำเพราะเราทำมานาน แล้วจะให้ผมขายก็คงไม่ขาย
เราตัดใจไม่ได้ยังไงก็ไม่ขาย พระ ชาวบ้าน มูลนิธิมาขอ
เหมือนว่าเราไปเห็นแล้วเขาได้พระราชทานมา แล้วก็มายกมือไหว้กัน ว่าขอให้ลูกเถอะนะ
เลยไม่กล้าให้ใคร เหมือนเป็นกรรมของเราจริงๆ กรรมตรงนี้เราก็ต้องรับไว้
เมื่อไหร่มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเราก็ไม่รู้
คือที่ทำไปทุกวันนี้กะว่าจะทำไปเรื่อย ๆ ดูว่าจังหวะไหนมันเป็นอย่างไร
มันเข้ามาตอนไหน มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นคงจะไปดิ้นรนอะไรมันมากไม่ได้
ถ้าขายบ้านได้ ตัวผมอยากที่จะมาอยู่ที่นี่แต่ลูกคงไม่อยากมาด้วย
ก็คงจะหาบ้านให้ลูกให้หลานอยู่แถวนู้น ลูกหลานไม่เคยมา เขาคงไม่ชอบที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น