บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีให้ชะลอ มติ ครม.

เกษตรกรเลี้ยงกุ้งเตรียมล่ารายชื่อยื่นถึงนายกรัฐมนตรีให้ชะลอ   มติ ครม.
              ที่บริเวณศาลาเอนกประสงค์โรงเรียนวัดลํานํ้า  หมู่ที่  6  ตําบลดอนใหญ่  อําเภอบางแพ  จังหวัดราชบุรี    เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่ภาพกลาง  ทั้งที่อําเภอบางแพ  จังหวัดราชบุรี  จังหวัดนครปฐม  และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์   ประมาณ 200 คน   ประชุมหารือ เตรียมความพร้อมในการล่าลายชื่อเกษตรกรเลี้ยงกุ้งเสนอต่อนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ   นายกรัฐมนตรี ทีเห็นชอบการแก้ใขปัญหาการใช้ความเค็มการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่  3/2553 เมื่อวันที่  8 กณกฎาคม  2553  โดยปรับปรุงข้อความในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่  2/2541 ลงวันที่   22 กรกฎาคม  2541จาก ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืด เป็น   “เพื่อระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์สัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด  ทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่เลี้ยงกุ้ง   โดยมีนายณรงค์  พลละเอียด  รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี  นายอนุเดช   เชี่ยวชาญวิลิตชกิจ   นายกสมาคมเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้าไทย   เดินทางมาร่วมรับฟังปัญหา    
                นายประกอบ  ทรัพย์ยอดแก้ว  อุปนายกสมาคมเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้าไทย  ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งคุณภาพจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า      จากมติ ครม.ที่เปลี่ยนระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเป็น “เพื่อระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์สัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด   ทําให้เกิดผลกระทบกับเกษตรผู้เลี้ยงกุ้งจํานวน  55  จังหวัดทั่วประเทศ  ส่งผลให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งทั่วประเทศเริ่มประสบปัญหา  เนื่องจากเป็นอาชีพดั้งเดิมที่ทํามากว่า  20  ปีแล้ว   ซึ่งได้มีการนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ประยุกต์ในการเลี้ยง  เช่น  นํากุ้งขาวแวนาไม  จากรัฐฟลอริดา  และรัฐฮาวาย   มาเลี้ยงผสมผสาน     สามารถเพาะพันธุ์กุ้งเพสผู้ได้ทั้งหมด  อีกทั้งยังปลอดสารพิษด้วย  ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดที่ต้องการกุ้งตัวโต   โดยเฉพาะพื้นที่อําเภอบางแพจังหวัดราชบุรี    เลี้ยงกุ้ง และปลา   ประมาณ  80 % ของพื้นที่  ประมาณ  3,657 ไร่  จํานวนมากกว่า  200  ราย    ผลิตกุ้งได้ปีละกว่า  6,494  ตัน   ส่งออกต่างประเทศปีละกว่าสองหมื่นล้านบาท 
                  จึงขอเรียนร้องหน่วยงานภาครัฐให้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง  พร้อมหาแนวทาง ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศ  เนื่องจากสภาพความเป็นจริงแล้ว  ไม่ตรงกับข้อมูล  หากเกษตรเลี้ยงกุ้งสร้างความเดือดร้อนด้านสิ่งแวดล้อมจริง  ก็สามารถมาดูได้ว่าในพื้นที่ก็มีการปลูกพืชผักทางการเกษตรบริเวณคันบ่อเลี้ยงกุ้ง   สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งขาย และบริโภคในครัวเรือนได้ และน้ำที่เลี้ยงกุ้งในปัจจุบันก็ไม่เกินมาตรฐานที่กรมชลประทานกำหนดอย่างแน่นอน
                  อย่างไรก็ตามเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้ร่วมกันล่าลายซื่อ  เพื่อยื่นเสนอต่อรัฐบาลให้ชะลอมติ  ครม.ดังกล่าว  และขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมลงมาตรวจสอบและวิจัยคุณภาพนํ้าว่ากระทบกับสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่  และข้อให้จบด้วยการตรวจสอบด้วย  อีไอเอ  ซึ่งขณะนี้ทางเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งกําลังรวมตัว และเอกสารยื่นถึงนายรัฐมนตรี  เพราะทุกคนไม่ต้องการที่จะไปปิดถนนประท้วงที่จะเกิดความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น แต่การปิดถนนกระท้วงขอให้เป็นขั้นตอนสุดท้วย
                นายณรงค์  พลละเอียด  รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี  กล่าวว่า  ทางจังหวัดรับทราบปัญหาดี  เมื่อมีมติ ครม.ออกมาอย่างนี้  หากประชาชนประสงค์ที่จะยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีก็สามารถทําได้ เพื่อให้ท่านได้รับทราบปัญหาความเดือนร้อนที่แท้จริง   แต่อย่างไปประท้วงปิดถนนจะก่อให้เกิดความเดือนร้อนผู้อื่น

ชาวบ้านทําบุญ

ชาวบ้านทําบุญโครงกระดูกโบราณราว 2,000 ปี   

                    ชาวบ้านในตําบลโพหัก   อําเภอบางแพ   จังหวัดราชบุรี   ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศิลปากรที่ จังหวัดราชบุรี    ร่วมกันจัดพิธีทําบุญเลี้ยงพระเพลแด่พระสงฆ์จํานวน 9 รูป   บริเวณที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ   เศษภาชนะ   ลูกปัด  กําไล   เศษกระเบื้อง    เครื่องปั่นดินเผา   ก้ามปูฟอสซิล   อายุเกือบ 3000 ปี   ที่บริเวณคันดินริมบ่อเลี้ยงกุ้งก้ามกราม    และสถานที่ทิ้งขยะของเทศบาลตําบลโพหัก  บ้านโคกพลับ  หมู่ที่  ตําบลโพหัก  อําเภอบางแพ      ซึ่งทางศิลปากรที่ โดยเจ้าหน้าที่โบราณคดีได้ทําการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์กว่า 10 โครงแล้ว  เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา    ซึ่งแต่ละศพเป็นโครงกระดูกอยู่ในสภาพที่นอนวางทับถมกันเป็นชั้น ๆ    ลึกจากพื้นดินประมาณ  3 เมตรเศษ   อีกฝั่งยังเป็นสถานที่ที่เคยค้นพบเป็นที่ทิ้งขยะกองโตของเทศบาลอีกด้วย
                  ทางด้าน นายนิคม  นักคุ่ย   กํานันตําบลโพหัก และชาวบ้าน จึงได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดใหญ่โพหัก และวัดใกล้เคียงจํานวน 9 รูป  มาร่วมกันทําบุญตัดบาตร   ถวายพัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์    เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับโครงกระดูกดังกล่าว   พร้อมทั้งร่วมกันบริจาคเงินสมทบ  สร้างหลังคากระเบื้องที่มาตรฐานปกคลุมหลุมศพโครงกระดูกโบราณ   เพื่อกันแดดกันฝน พร้อมทั้งจะร่วมใจกันพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว  จะเกิดประโยชน์กับชาวบ้านในพื้นที่อย่างยิ่ง
                  สำหรับการดําเนินการขุดค้นหาโครงกระดูกในพื้นที่ประมาณ  ไร่  ที่ปัจจุบันทางเทศบาลตําบลโพหักได้นําขยะมาทิ้งวันละ 2 ตัน ซึ่งเป็นปัญหากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน    ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่โบราณสถานเป้นส่วนหนึ่งของชาวโพหัก การนำขยะมาทิ้งในพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นการดูถูกบรรพบุรุษของชาวโพหัก  จึงขอให้ทางเทศบาลเร่งนําขยะออกไป  เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน    เพื่อเป็นพื้นที่ในการฟื้นฟูด้านวัฒนธรรม และแหล่งโบราณคดี  พร้อมทั้งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไปอีกด้วย

หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา

รณรงค์หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา

กลุ่มผู้ศึกษาและเปิดเผยพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยสมาชิกกลุ่ม
ได้ร่วมกันรณรงค์นำเอาเอกสารแผ่นพับที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์
-สามเณร ออกแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไปหวังสร้างความรู้การทำบุญในทางที่ถูกต้องที่บริเวณกลางแยกไฟแดงถนนคฑาธร อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี นางสุภาพร สวัสดี นางปุญิกาปัญญาสาร และนายกิตตินพ  จีรพงษ์อุดมตัวแทนกลุ่มผู้ศึกษาและเปิดเผยพระพุทธศาสนาพร้อมด้วยสมาชิกกลุ่มจำนวนกว่า 200 คนนำเอกสารแผ่นพับที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ สามเณรซึ่งมีเนื้อหาและข้อความต่าง ๆนำมาแจกให้กับประชาชนตามท้องถนนตลอดจนชาวบ้านในพื้นที่อำเภอเมืองราชบุรีอาทิ แผ่นพับและชูป้ายที่มีคำว่าหยุดทำร้ายพระพุทธศาสนาหยุดทำบาปให้กับตนเองหยุดถวายทอง-เงิน แด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรหรือข้อความเนื้อหาที่กลุ่มฯได้จัดพิมพ์ขึ้นคัดลอกมาจากพระไตรปิฏก เล่ม 3 หน้า 940 เล่มสีน้ำเงินเล่ม 3 หน้า 887 เล่มสีแดงแล้วจัดพิมพ์มาเผยแผ่นำแจกกับบุคคลประชาชนทั่วไป   ซึ่งทางด้านนางปุญิกา ปัญญาสาร หนึ่งในตัวแทนกลุ่มฯ กล่าวว่าทางกลุ่มได้มีการรวมตัวกันทั่วประเทศจำนวนหลายหมื่นคนที่ลงทะเบียนและไม่ได้ลงทะเบียนโดยทางกลุ่มผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้ร่วมกันนำเอกสารแผ่นพับมาแจ้งให้พี่น้องประชาชนในจังหวัดต่าง ๆได้รับรู้ถึงความเป็นมาร่วมทั้งเพื่อให้ประชาชนชาวพุทธได้ปฏิบัติตัวต่อการทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์สามเณร ในทางที่ถูกต้องตลอดจนให้รับทราบความจริงว่าการทำบุญนั้นทำอย่างไรได้บุญและทำบุญอย่างไรถึงได้บาป และยังรวมถึงเรื่องพระภิกษุสงฆ์ -สามเณรหากรับเงิน -ทองสิ่งของบางอย่างที่ผิดวินัยสงฆ์แล้วบาปและเป็นบาปทั้งผู้ให้และผู้รับด้านนางสุภาพร  สวัสดี เปิดเผยว่าเห็นว่าชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มักคุ้นเคยกับการทำบุญแบบเดินมาตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้วนั้นโดยส่วนมากทำบุญแล้วได้บาปโดยทางกลุ่มเห็นว่าเพื่อเป็นการชี้แนวทางการทำบุญที่ทำบุญแล้วได้บุญจริงๆนั้นทำอย่างไร จึงได้จัดกิจกรรมขึ้นเพื่อเป็นการชี้แนวทางการทำบุญในโอกาสต่อไปว่าทำบุญแล้วต้องได้บุญไม่ใช่ได้บาป